3. การจัดการการตลาด
นักการตลาดมีการพัฒนาแนวความคิดในการบริหารจัดการการตลาดในหลายรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของตลาดในแต่ล่ะวงเวลา ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
3.1 แนวความคิดทางด้านการผลิต (Production concept) เป็นแนวคิดที่มองว่า ลูกค้าต้องการสินค้าที่มาราถูกสามารถหาซื้อได้สะดวก ดังนั้น องค์กรจึงให้ความสำคัญกับ การผลิตให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สินค้าที่มีราคาต่ำกว่าคู่แข่งในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
3.2 แนวความคิดทางด้านผลิตภัณฑ์ (Product concept) เป็นแนวคิดที่มองว่า ลูกค้าให้ความสำคัญกับ คุณภาพของสินค้า ดังนั้น องค์กรจึงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าปรับปรุงคุณภาพของสินค้าอย่างต่อเนื่อง
3.3 แนวความคิดทางด้านการขาย (Selling concept) เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการทำการตลาดที่มุ่งเน้นการขายสินค้าให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ เป็นเพราะสภาพ ของการตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง ดังนั้น องค์กรจึงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการตลาดต่างๆ ให้กับลูกค้าเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า
3.4 แนวความคิดทางด้านการตลาด (Marketing concept) เป็นแนวความคิดที่ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดโดยเริ่มจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งแตกต่างกับสาม แนวคิดก่อนหน้าที่เป็นแนวคิดที่มองภาพจากภายในองค์กรสู่ภายนอกเป็นการอาศัยมุมมองของบริษัทเองมากำหนดและพัฒนาสินค้า แต่แนวคิดที่สี่นี้ องค์กรให้ความสำคัญกับ ภายนอกคือลูกค้าเป็นหลัก ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แล้วจึงนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความ ต้องการนั้นนอกเหนือไปจากองค์กรจะมุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการที่เหนือกว่าและแตกต่างกว่าคู่แข่ง เพราะเชื่อว่าหากลูกค้าไม่พึงพอใจกับสินค้าหรือบริการแล้วโอกาส ที่ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือรับบริการอีกมีน้อยมาก
4. การจัดการการผลิตและบริการ
กลยุทธ์การดำเนินงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจขององค์กรและสอดคล้องกับค่านิยมร่วมแห่งองค์กร จะมีส่งผลให้องค์กรนั้นโดดเด่น มีสุขภาวะที่ดี เปรียบเสมือนร่างกายที่แข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้ตามการสั่งงานของสมองและหัวใจ ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ธุรกิจที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี ก็พึงมีกลยุทธ์ธุรการดำเนินงานที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาองค์กรให้เป็นผู้นำทางเทคโนโลยี
หากพิจารณาตัวอย่างด้านค่านิยมร่วมเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม กลยุทธ์การดำเนินงาน และกิจกรรมก็ควรมีการสนับสนุนให้พนักงานงานดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมรอบๆ โรงงาน การวางแผนและตัวชี้วัดด้านการดำเนินงานต้องส่งเสริมให้เกิดการลดการใช้พลังงาน สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดมุ่งเน้นกระบวนการผลิตที่ประหยัด
5. การจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจทั่งโลกมีการเติบโตและการแข่งขันสูง การที่องค์กรจะแข็งแกร่งและมีความยั่งยืนอยู่ได้นั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจคือ การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการการมุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ การเพิ่มศักยภาพในกระบวนการผลิตรวมทั้งการต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่อย่างสม่ำเสมอ
องค์กรในประเทศไทยมักเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ในการขับเคลื่อนนวัตกรรม เช่น ต้นทุนของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่สูง การขาดความสนับสนุนจากผู้บริหาร ความเสี่ยงด้านอุปสงค์ การขาดบุคลากรที่มีทักษะ ความยากในการแสวงหาแหล่งเงินทุน ปัญหาการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ การขาดการอบรมบุคลากรภายในหน่วยงานที่เพียงพอ ความไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ความไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร การขาดการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การขาดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม การขาดข้อมูลทางการตลาดและด้านเทคโนโลยีที่ถูกต้องชัดเจน การขาดความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกจึงทำให้องค์กรในประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ยังไม่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนานวัตกรรมเท่าที่ควร
6. การจัดการการเงินลงทุน
ในการจัดหาเงินทุนนั้น ‘การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ เปรียบได้กับการยับยั้ง ชั่งใจ ไม่กู้เงินดอกเบี้ยต่ำจากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก มุ้งเนินในผู้บริหารนำทรัพยากรที่มีอยู่ไปใช้ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งค่านิยมการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน จะลดความเย้ายวนของการลงทุนแบบฉาบฉวยเพื่อผลกำไรในระยะสั้น
หัวใจหลักของการจัดการการเงินและการลงทุนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ ไม่ทำกำไรระยะสั้น แม่มองการณ์ไกลไปในระยะยาว หากเป็นองค์กรขนาดใหญ่จะต้องมีแผนการลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว หรือหากขยายกิจการก็มักเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อน เช่น การส่งสินค้าไปทดสอบตลาดว่า สินค้าเป็นที่พอใจของผู้บริโภคหรือไม่ หากกระแสตอบรับเป็นไปด้วยดีจึงค่อยสร้างโรงงานต้นแบบขนาดเล็ก จนกระทั่งเมื่อมั่นใจแล้วว่าสินค้าที่เป็นที่นิยมของตลาดจึงจะลงทุนขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังผลิต
|
แนวทางปฏิบัติในการจัดการการเงินและการลงทุน
1.ธุรกิจสามารถรักษาผลประกอบการทางการเงินให้อยู่ในระดับที่สามารถอยู่รอดได้ แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
2. ธุรกิจไม่มุ่งเน้นตีราคาเพื่อโจมตีตลาดของคู่แข่ง
3. ธุรกิจใช้ยุทธศาสตร์การลงทุนที่เกิดจากความเข้าใจในแนวโน้มระยะยาว
4. ธุรกิจระมัดระวังรักษาเสถียรภาพของอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เช่น อัตราส่วน กำไรต่อต้นทุน อัตราส่วนหนี้ต่อทรัพย์สิน
5. ธุรกิจมีนโยบายปันผลกำไรเพื่อนำไปใช้ในโครงการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม |
|
7. การจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงบนพื้นฐานความยั่งยืนขององค์กรช่วยให้สามารถวิเคราะห์ ปัจจัยต่างๆ ได้เป็นองค์รวมมากยิ่งขึ้น และส่งผลดีต่อการบริหารการเงินขององค์กรนอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงที่เน้นถึงความสำคัญของความยั่งยืนขององค์กรยังช่วยให้ผู้บริหารได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรมและความก้าวหน้าให้กับองค์กรนับเป็นการสร้างชื่อเสียงและสร้างคุณค่าขององค์กรต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกๆ ฝ่าย ความเสี่ยงทางธุรกิจสามารถแบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้
7.1 ความเสี่ยงทางกลยุทธ์ (Strategic risk) เกิดจากองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ของการนำธุรกิจที่สามารถส่งผลกระทบต่อความล้มเหลวในการปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์องค์ ประกอบสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนและความอยู่รอดขององค์กรได้แก่ การตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาด ความขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการดำเนินกลยุทธ์ หรือการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างไร้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงความล้มเหลวขององค์กรในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจอีก ด้วย ในการจัดการความเสี่ยงด้านกลยุทธ์นั้น ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นสาเหตุแห่งความผิดพลาด ไปพร้อมๆ กันกับการให้ความสำคัญใน การคาดการถึงปัจจัยต่างๆ ที่จะให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปด้วยดีอีกด้วยเพื่อให้องค์กรมีความยั่งยืนอย่างถาวร
7.2 ความเสี่ยงในการดำเนินงาน (Operational risk) เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยเช่น ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติต่างๆ หรือความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผล กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ให้การดำเนินงานขององค์กรต้องหยุดชะงัก นอกจากนี้การเพิ่ม จำนวนประชากร ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า และการทำลายทรัพยากร ธรรมชาติอื่นๆ อาจำให้ทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินงานขององค์กรหมดไปอย่างรวดเร็ว และจะส่งผลกระทบ โดยตรงต่อความเสี่ยงในการดำเนินงาน องค์กรจึงควรมีการ กำหนดมาตรการรับมือกับความเสี่ยงในการดำเนินงานไว้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้การดำเนินงานขององค์กรต้องหยุดลง หากองค์กรสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะ เผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยใดๆ ก็ตาม จะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร เป็นตัวกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีกทางหนึ่งสร้างความภักดีต่อสินค้า และบริการจากลูกค้า ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรอีกด้วย
7.3 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ (Economic risk) ที่ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดขององค์กร เกิดจากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งภายนอกองค์กร (ระดับภาคและระดับ จุลภาค) และภายในองค์กรเอง ถึงแม้ว่าปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจจากภายนอก เป็นสิ่งที่องค์กรไม่สามารถควบคุมได้ แต่องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเพื่อ ให้ เกิดความยั่งยืนได้ โดยการจัดการปัจจัยภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสามารถผลิตสินค้าและบริการอย่างมมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตรงตามความต้องการของ ตลาด มี ระบบการจัดการโดยเฉพาะด้านการเงินที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้สามารถใช้เครื่องมือทางการเงินในการลดต้นทุนการดำเนินงาน การขยายการลงทุนทุกประเภท เช่น การเพิ่ม ประเภทของสินค้าและการบริการ หรือการเข้าไปลงทุนในประเทศใหม่ๆ หรือตลาดที่ไม่คุ้นเคย เป็นไปด้วยความระมัดระวัง มีการพิจารณาปัจจัยทางการเงิน-การ ลงทุน เช่น การ หมุนเวียนของเงินทุนอย่างรอบคอบ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าองค์กรสามารถสร้างกำไรได้ในทุกสภาวะแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
7.4 ความเสี่ยงทางสังคม (Social risk) การดำเนินงานขององค์กรทุกประเภท ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจ หรือประชาชนในพื้นที่ที่องค์กรนั้นๆ ตั้งอยู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดขององค์กรการจัดการความเสี่ยงทางสังคมเพื่อความ ยั่งยืน ขององค์กรควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมมือใน
กิจรรมหรือการดำเนินงานขององค์กร ร่วมรับผลประโยชน์ และมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจของ องค์กร มีระบบ การสื่อสารภายในและภายนอกองค์กรที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล เพื่อให้แน่ใจได้ว่าความคิดเห็นหรือมุมมองทางสังคมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียถูกนำมาปฏิบัติให้เกิด ประโยชน์ต่อการ ดำเนินงานขององค์กรอย่างสูงสุด โดยเฉพาะในด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร อันเป็นการแสดงถึงความสำคัญกับคุณค่าของความเป้นมนุษย์ ในทุกระดับ |